คู่มือผู้ใช้ Apple Watch
- ยินดีต้อนรับ
- มีอะไรใหม่
-
- นาฬิกาปลุก
- App Store
- ออกซิเจนในเลือด
- เครื่องคิดเลข
- ปฏิทิน
- รีโมทกล้อง
- ECG
- ทานยา
- Memoji
- บอกชื่อเพลง
- News
- กำลังเล่นอยู่
- เตือนความจำ
- รีโมท
- คำสั่งลัด
- ไซเรน
- หุ้น
- นาฬิกาจับเวลา
- น้ำขึ้น-น้ำลง
- นาฬิกานับถอยหลัง
- เคล็ดลับ
- แปลภาษา
- สัญญาณชีพ
- เสียงบันทึก
- วอล์คกี้ทอล์คกี้
- นาฬิกาโลก
-
- VoiceOver
- ตั้งค่า Apple Watch โดยใช้ VoiceOver
- ข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับ Apple Watch ที่มี VoiceOver
- การสะท้อนหน้าจอ Apple Watch
- ควบคุมอุปกรณ์ใกล้เคียง
- AssistiveTouch
- ใช้เครื่องแสดงผลอักษรเบรลล์
- ใช้แป้นพิมพ์บลูทูธ
- ซูม
- บอกเวลาด้วยการตอบสนองโดยการสั่น
- ปรับขนาดข้อความและการตั้งค่าเกี่ยวกับภาพอื่นๆ
- ปรับการตั้งค่าการเคลื่อนไหว
- ตั้งค่าและใช้งาน RTT
- การตั้งค่าเสียงการช่วยการเข้าถึง
- ป้อนเพื่อให้อ่านออกเสียง
- เลือกแอปที่โฟกัสโดยอัตโนมัติ
- ใช้คุณสมบัติการช่วยการเข้าถึงด้วย Siri
- ปุ่มลัดการช่วยการเข้าถึง
-
- ข้อมูลด้านความปลอดภัยที่สำคัญ
- ข้อมูลด้านการดูแลที่สำคัญ
- การแก้ไข watchOS โดยไม่ได้รับอนุญาต
- ข้อมูลด้านการดูแลรักษาสายนาฬิกา
- แถลงการณ์การปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของ FCC
- แถลงการณ์การปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของ ISED Canada
- ข้อมูลแถบความถี่กว้างยิ่งยวด
- ข้อมูลเกี่ยวกับเลเซอร์คลาส 1
- ข้อมูลด้านการกำจัดและการรีไซเคิล
- Apple กับสิ่งแวดล้อม
- ลิขสิทธิ์
การแก้ไข watchOS โดยไม่ได้รับอนุญาต
watchOS ออกแบบมาเพื่อให้มีความมั่นคงและปลอดภัยตั้งแต่ช่วงเวลาที่คุณเปิดอุปกรณ์ คุณสมบัติความปลอดภัยในตัวช่วยปกป้องอุปกรณ์จากมัลแวร์และไวรัส และทำให้ผู้ใช้เข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลขององค์กรได้อย่างปลอดภัย การแก้ไข watchOS โดยไม่ได้รับอนุญาต (หรือที่เรียกว่า “การเจลเบรก”) จะข้ามคุณสมบัติความปลอดภัยและอาจก่อให้เกิดปัญหามากมายกับ Apple Watch ที่ถูกแฮ็ก เช่น ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย ความไม่เสถียร และระยะเวลาการใช้งานของแบตเตอรี่สั้นลง
ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย การเจลเบรกอุปกรณ์ของคุณจะทำลายชั้นความปลอดภัยที่ออกแบบมาเพื่อปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลและ Apple Watch ของคุณ เมื่อความปลอดภัยนี้ถูกเอาออกจาก Apple Watch แฮ็กเกอร์อาจขโมยข้อมูลส่วนบุคคลของคุณ ทำให้อุปกรณ์เสียหาย โจมตีเครือข่าย หรือปล่อยมัลแวร์ สปายแวร์ หรือไวรัส
ความไม่เสถียร การแก้ไขโดยไม่ได้รับอนุญาตอาจทำให้อุปกรณ์หยุดทำงานโดยไม่ทราบสาเหตุบ่อยครั้ง ทำให้แอปในตัวและแอปของบริษัทอื่นปิดตัวลงโดยไม่ทราบสาเหตุและค้าง และข้อมูลเสียหาย
ระยะเวลาการใช้งานของแบตเตอรี่สั้นลง ซอฟต์แวร์ที่ถูกแฮ็กอาจทำให้แบตเตอรี่หมดเร็ว ซึ่งทำให้ Apple Watch ทำงานได้สั้นลงต่อการชาร์จแบตเตอรี่หนึ่งครั้ง
เสียงและข้อมูลที่ไม่มั่นคง การแก้ไขโดยไม่ได้รับอนุญาตอาจทำให้สายโทรหลุด การเชื่อมต่อข้อมูลช้าหรือไม่มั่นคง และข้อมูลตำแหน่งที่ตั้งที่ล่าช้าหรือไม่แม่นยำ
การหยุดการบริการ บริการต่างๆ เช่น iCloud, iMessage, FaceTime, Apple Pay, Visual Voicemail, สภาพอากาศ และหุ้นอาจถูกรบกวน หรือไม่ทำงานบนอุปกรณ์อีกต่อไป นอกจากนี้ แอปของบริษัทอื่นที่ใช้บริการการแจ้งเตือนแบบผลักข้อมูลของ Apple อาจประสบปัญหาในการรับการแจ้งเตือนหรืออาจได้รับการแจ้งเตือนที่ตั้งใจจะส่งให้อุปกรณ์อื่น บริการอื่นๆ ที่ใช้การผลักข้อมูล เช่น iCloud และ Exchange อาจประสบปัญหาในการเชื่อมข้อมูลกับเซิร์ฟเวอร์ที่เกี่ยวข้อง
การไม่สามารถปรับใช้รายการอัปเดตซอฟต์แวร์ในอนาคตได้ การแก้ไขโดยไม่ได้รับอนุญาตบางประเภทอาจก่อให้เกิดปัญหาที่ไม่สามารถซ่อมแซมได้กับ watchOS ซึ่งส่งผลให้ Apple Watch ที่ถูกแฮ็กไม่สามารถใช้งานได้อย่างถาวร เมื่อติดตั้งรายการอัปเดต watchOS ที่ Apple จัดเตรียมไว้ในอนาคต
Apple ขอแนะนำเป็นอย่างยิ่งว่าไม่ควรติดตั้งซอฟต์แวร์ที่แก้ไข watchOS อีกทั้งยังขอแจ้งให้ทราบว่าการแก้ไข watchOS โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นการละเมิดข้อตกลงสิทธิ์การใช้งานซอฟต์แวร์ watchOS และด้วยเหตุนี้ Apple อาจปฏิเสธการให้บริการสำหรับ Apple Watch ที่มีซอฟต์แวร์ที่ไม่ได้รับอนุญาตติดตั้งอยู่