สารฆ่าศัตรูพืชและสัตว์
สารฆ่าศัตรูพืชและสัตว์หรือสารฆ่าสัตว์รังควาน (อังกฤษ: pesticide) เป็นสารที่ใช้เพื่อป้องกัน ทำลาย ไล่หรือ ลดปัญหาของศัตรูพืชและสัตว์ก่อความรำคาญ[1]
สารฆ่าศัตรูพืชและสัตว์ อาจเป็นสารเคมี หรือ สารชีวภาพ (เช่น ไวรัส หรือ แบคทีเรีย) ที่ใช้ทำลายหรือยับยั้งการเจริญเติบโตแพร่พันธุ์ ของสัตว์ (แมลง หนู หอย) วัชพืช หรือ จุลชีพ ที่ส่งผลกระทบกับพืชหลักที่เพาะปลูก ให้คุณภาพหรือปริมาณต่ำลง
สารฆ่าศัตรูพืชและสัตว์ แบ่งตามศัตรูพืชได้ คือ ยากำจัดวัชพืช ยาฆ่าแมลง ยากำจัดเชื้อรา และสารกำจัดแบคทีเรีย นอกจากนั้นยังมีสารอื่นๆ อีกเช่น ยาเบื่อหนู ยาเบื่อนก ยาฆ่าหอย
1. ประโยชน์โดยตรงในการกำจัดศัตรูและโรคพืช
- เพิ่มผลผลิตของพืชประธาน
- เพิ่มคุณภาพของพืชประธาน
- ช่วยควบคุมวัชพืชให้มีอยู่ในปริมาณที่เหมาะสม เช่น มีมากพอที่จะช่วยคลุมดินแต่ไม่มากจนเกินไปที่จะไปแย่งน้ำและอาหารจากพืชประธาน
2. ประโยชน์โดยตรงในการควบคุมโรคที่เกี่ยวข้องกับคนและสัตว์เลี้ยง
- ช่วยให้ชีวิตของคนปลอดภัยและมีคุณภาพที่ดีขึ้น โดยการกำจัดแมลงรวมถึงหนู ที่เป็นพาหะนำโรค
- ช่วยให้ชีวิตของสัตว์เลี้ยงปลอดภัยและมีคุณภาพที่ดีขึ้น โดยการกำจัดแมลงรวมถึงหนู ที่เป็นพาหะนำโรค
- ช่วยควบคุมกำจัดขอบเขตของโรคติดต่อ
3. ประโยชน์โดยตรงในการป้องกันทรัพย์สิน สิ่งก่อสร้าง และกิจกรรมของมนุษย์จากวัชพืช แมลง หรือ สัตว์รบกวน
- ช่วยให้โครงสร้างไม้ปลอดภัย เช่น ป้องกันปลวกเข้าทำลายโครงสร้างไม้
- ช่วยป้องกันทรัพย์สิน เช่น ป้องกันหนูเข้าทำลายสายไฟ หรือ มดเข้าทำลายอุปกรณ์อิเลกทรอนิกส์
4. ประโยชน์ทางอ้อมต่อชุมชน
- ช่วยรายได้จากเกษตรกรรม
- ช่วยให้ชุมชนได้ผลผลิตอาหารดีขึ้น
- ช่วยด้านความปลอดภัยของชุมชน
5. ประโยชน์ทางอ้อมต่อประเทศชาติ
- ช่วยเพิ่มผลผลิตต่อแรงงานขึ้น
- ช่วยเพิ่มรายได้จากการส่งออก
- ช่วยสร้างเศรษฐกิจการเกษตร
6. ประโยชน์ทางอ้อมต่อโลก
- ช่วยรักษาอุปทานทางด้านอาหารรวมถึงความหลากหลาย
- ช่วยลดความไม่สงบทางการเมือง เช่น ลดการประท้วงของประชาชนเนื่องจากความอดอยากลง
ผลกระทบ
[แก้]การใช้และการวิจัยและพัฒนาสารฆ่าศัตรูพืชและสัตว์ ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของมนุษย์
ผลกระทบต่อสุขภาพ
[แก้]สารฆ่าศัตรูพืชและสัตว์ อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพให้แย่ลงทั้งแบบเฉียบพลันและเรื้อรังได้กับผู้ที่ได้รับสารฆ่าศัตรูพืชและสัตว์โดยตรง เช่น อาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองต่อผิวหนังและตา หรือ อาการที่รุนแรง อย่างมะเร็ง เป็นต้น และมีหลักฐานที่เชื่อได้ว่า การได้รับสารฆ่าศัตรูพืชและสัตว์ มีผลกับ ความบกพร่องของระบบประสาท การเกิดที่ผิดปกติ และการตายของทารกตัวอ่อน รวมถึงความผิดปกติทางพัฒนาการของระบบประสาท[3]
ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
[แก้]มากกว่า 98% ของยาฆ่าแมลง และ 95% ของยาปราบวัชพืช ที่ฉีดพ่น กระจายได้สู่พื้นอื่นๆ นอกเหนือจากพื้นที่เป้าหมาย รวมถึง เข้าไปถึง สิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่เป้าหมาย อากาศ น้ำ และดิน[4] ารฆ่าศัตรูพืชและสัตว์ เป็นสาเหตุหนึ่งของมลภาวะของแหล่งน้ำและดิน
นอกจากนั้น การใช้สารฆ่าศัตรูพืชและสัตว์ ยังมีผลทำให้ความหลากหลายทางชีวภาพลดลง ลดการดึงไนโตรเจน (nitrogen fixation) ของพืช และลดการผสมเกสรลด รวมถึงรบกวนแหล่งที่อยู่ของสัตว์ที่ไม่เกี่ยวข้อง เช่น นก[4]
ศัตรูพืชเอง ยังอาจเกิดความต้านทานต่อสารฆ่าศัตรูพืชและสัตว์ (อาการดื้อยา) ขึ้นได้ ซึ่งทำให้เกิดความต้องการสารฆ่าศัตรูพืชและสัตว์ชนิดใหม่ หรือ อาจทำให้ต้องใช้สารฆ่าศัตรูพืชและสัตว์เดิมในปริมาณที่สูงขึ้น ซึ่งวิธีหลังนี้จะยิ่งผลกระทบด้านลบแก่สิ่งแวดล้อม
ผลกระทบด้านเศรษฐกิจ
[แก้]ผลกระทบทางด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการใช้สารฆ่าศัตรูพืชและสัตว์ ยังส่งผลต่อค่าใช้จ่ายอีกด้วย ตัวอย่างเช่น ค่าใช้จ่ายของสหรัฐอเมริกาด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อมที่มีผลจากการใช้สารฆ่าศัตรูพืชและสัตว์อยู่ที่ราวๆ 9 พันล้านเหรียญ ในแต่ละปี[5]
นอกจากนั้นยังมีค่าใช้จ่ายสำหรับการขึ้นทะเบียนและจัดซื้อสารฆ่าศัตรูพืชและสัตว์อีกด้วย
ดูเพิ่ม
[แก้]อ้างอิง
[แก้]- ↑ US Environmental (July 24, 2007), What is a pesticide? epa.gov. Retrieved on September 15, 2007.
- ↑ Cooper, Jerry and Hans Dobson. "The benefits of pesticides to mankind and the environment." Crop Protection 26 (2007): 1337-1348., [1] เก็บถาวร 2011-09-27 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน Retrieved on February 25, 2011.
- ↑ Sanborn M, Kerr KJ, Sanin LH, Cole DC, Bassil KL, Vakil C (October 2007). "Non-cancer health effects of pesticides: systematic review and implications for family doctors". Can Fam Physician 53 (10): 1712–20.
- ↑ 4.0 4.1 Miller GT (2004), Sustaining the Earth, 6th edition. Thompson Learning, Inc. Pacific Grove, California. Chapter 9, Pages 211-216.
- ↑ imentel, David. "Environmental and Economic Costs of the Application of Pesticides Primarily in the United States." Environment, Development and Sustainability 7 (2005): 229-252., [1]. Retrieved on February 25, 2011.