ฟาโรห์เดดูโมสที่ 2
บทความนี้ไม่มีการอ้างอิงจากแหล่งที่มาใด |
ฟาโรห์เดดูโมสที่ 2 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
เดดิโมส, ตูติไมออส | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
จารึกศิลา CG 20533 ของฟาโรห์ดเจดเนเฟอร์เร เดดูโมสที่ 2 จากเกเบลีน[1] | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ฟาโรห์ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
รัชกาล | บางช่วงเวลาระหว่าง 1588 ถึง 1582 ปีก่อนคริสตกาล (รีฮอล์ต) | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ก่อนหน้า | เดดูโมสที่ 1? | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ถัดไป | ดเจดอังค์เร มอนต์เอมซาฟ? | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
พระราชบิดา | เดดูโมสที่ 1? | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ราชวงศ์ | ราชวงศ์ที่สิบหก หรือ ราชวงศ์ที่สิบสาม |
ดเจดเนเฟอร์เร เดดูโมสที่ 2 (อังกฤษ: Dedumose II) เป็นฟาโรห์ชาวพื้นเมืองแห่งอียิปต์โบราณในสมัยช่วงระหว่างกลางครั้งที่ 2 ตามที่นักไอยคุปต์วิทยา คิม ริโฮลต์ และดาร์เรลล์ เบเกอร์ ระบุให้พระองค์เป็นผู้ปกครองแห่งธีบส์จากราชวงศ์ที่สิบหก[2][3] และอีกข้อสันนิษฐานหนึ่ง เยือร์เกิน ฟอน เบ็คเคอราธ โธมัส ชไนเดอร์ และเด็ตเลฟ แฟรงค์ ได้มองว่า พระองค์เป็นฟาโรห์จากราชวงศ์ที่สิบสามแห่งอียิปต์[4][5][6][7]
ข้อถกเถียงเรื่องช่วงเวลาแห่งรัชสมัย
[แก้]วิลเลียมส์และคนอื่นๆ ระบุให้ฟาโรห์เดดูโมสที่ 2 เป็นฟาโรห์พระองค์สุดท้ายของราชวงศ์ที่สิบสามแห่งอียิปต์ ยังไม่ทราบช่วงเวลาแห่งรัชสมัยของพระองค์ที่แน่นอน แต่ตามตำแหน่งตามลำดับเวลาที่ยอมรับกันทั่วไป รัชสมัยของพระองค์อาจจะสิ้นสุดในราว 1,690 ปีก่อนคริสตกาล[8]
หลักฐานยืนยัน
[แก้]หลักฐานยืนยันของพระองค์มาจากจารึกศิลาที่ค้นพบที่เมืองเกเบลีน ซึ่งปัจจุบันอยู่ในพิพิธภัณฑ์ไคโร (CG 20533)[10] ในจารึกศิลาดังกล่าว ฟาโรห์เดดูโมสที่ 2 ทรงอ้างพระองค์เองว่าได้รับการยกขึ้นเป็นให้ฟาโรห์ ซึ่งอาจบ่งบอกว่าพระองค์เป็นพระราชโอรสในฟาโรห์เดดูโมสที่ 1 ถึงแม้ว่าข้อความดังกล่าว อาจเป็นเพียงรูปแบบหนึ่งของกล่าวอ้างก็ตาม ลักษณะของข้อความบนจารึกศิลา อาจจะสะท้อนถึงสภาวะสงครามที่คงที่ในช่วงปีสุดท้ายของราชวงศ์ที่สิบหกแห่งอียิปต์ เมื่อชาวฮิกซอสเข้ามารุกรานของพระองค์:[11]
เทพเจ้าผู้ทรงประเสริฐ ผู้เป็นที่รักยิ่งแห่งธีบส์ ผู้ที่ถูกเลือกโดยเทพฮอรัส ผู้เพิ่ม[กองทัพ]ของพระองค์ ผู้ซึ่งทรงปรากฏเหมือนสายฟ้าของดวงอาทิตย์ ผู้ซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็นกษัตริย์แห่งดินแดนทั้งสอง ผู้ที่เป็นเจ้าแห่งการตะโกนร้อง
ลุดวิก โมเรนซ์เชื่อว่าข้อความดังกล่าวที่ตัดตอนมาข้างต้นจากจารึกศิลา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ผู้ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นกษัตริย์" อาจจะยืนยันข้อคิดเห็นที่ขัดแย้งกันของเอดูอาร์ด เมเยอร์ที่ว่าฟาโรห์บางพระองค์ได้ทรงรับเลือกให้ขึ้นมาดำรงตำแหน่งประมุข[11]
ทิไมออสของโจเซฟัส
[แก้]พระองค์อาจจะเชื่อมโยงกับทิไมออส[12][13] ซึ่งถูกกล่าวถึงโดยนักประวัติศาสตร์นามว่า โจเซฟัส ซึ่งอ้างมาจากมาเนโธ โดยอ้างถึงพระองค์ในฐานะฟาโรห์ในช่วงที่กองทัพของชาวเอเชียเข้ามาปกครองประเทศโดยปราศจากการต่อสู้[14]
วลีเกริ่นนำในคำพูดของมาเนโทของโจเซฟัสที่ว่า του Τιμαιος ονομα ดูจะผิดหลักไวยากรณ์และตามที่ เอ. ฟอน กุตช์มิด ได้ระะไว้ว่า คำภาษากรีก του Τιμαιος ([คำนำหน้านามแสดงความเป็นเจ้าของเฉพาะเจาะจง] ทิไมออส [คำที่เป็นประธานของประโยค]) มักจะรวมกันเป็นชื่อว่า Τουτιμαιος (ทุติไมออส) ในข้อโต้แย้งบางเบาการอ้างอิงของฟอน กุตช์มิด ซึ่งฟังดูเหมือนพระนาม ทุตเมส ซึ่งก็คือ ทุตโมส สิ่งนี้มีอิทธิพลต่อการทับศัพท์ของพระนาม เดดูโมส เป็น ดูดิโมส เพื่อเน้นย้ำความคล้ายคลึง แต่การทับศัพท์ดังกล่าวไม่ถูกต้องโดยการสะกดพระนามด้วยอักษรอียิปต์โบราณ อย่างไรก็ตาม พระองค์ทรงปกครองในฐานะฟาโรห์แห่งราชวงศ์ที่สิบสาม ซึ่งปกครองก่อนหน้าการเข้ามาของชาวฮิกซอส หรืออาจจะเป็นฟาโรห์ของราชวงศ์ที่สิบหก ซึ่งร่วมสมัยกับการเข้ามาของชาวฮิกซอสในยุคแรก และรูปแบบที่แท้จริงของ ทิไมออส ในต้นฉบับของโจเซฟัสยังคงเป็นตัวแทนพระนามของพระองค์อย่างมีเหตุผล คำแปลของโจเซฟัสของวิสตันเข้าใจวลีนี้ว่าหมายถึง “[มีกษัตริย์พระองค์หนึ่ง] ของเรา (του) ซึ่งมีชื่อว่าทิไมออส (Τιμαιος ονομα)” เอ. บูโลว์-จาคอบเซนได้เสนอความเห็นว่า อย่างไรก็ตาม วลีของโจเซฟัสอาจจะได้รับมาจาก ชุดของข้อผิดพลาดในการเขียน (ไม่มีการตรวจสอบ) จาก του πραγματος ("ของเรื่องนี้") และ ονομα ("นี่คือพระนาม" โดยทั่วไปจะไม่อยู่ในการแปล) เป็นการแปลหรืออธิบายข้อความในภายหลัง เนื่องจากข้อความต้นฉบับของโจเซฟัส ไม่ปรากฏพระนามของฟาโรห์เลย[2][15][16]
ทฤษฎีกระแสรอง
[แก้]มีความพยายามในการตีความใหม่โดยนักประวัติศาสตร์ อิมมานูเอล เวลิคอฟสกี และนักอียิปต์วิทยา เดวิด โรห์ล เพื่อระบุว่า ฟาโรห์เดดูโมเซที่ 2 เป็นฟาโรห์แห่งการอพยพ ซึ่งอยู่ในช่วงเวลาที่เก่ากว่าฟาโรห์แห่งการอพยพในความเชื่อกระแสหลัก[17] โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โรห์ลพยายามเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับประวัติศาสตร์อียิปต์โดยทำให้สมัยช่วงระหว่างกลางครั้งที่สามของอียิปต์สั้นลงเกือบ 300 ปี ผลที่ตามมาก็คือการเชื่อมโยงกับการเล่าเรื่องในพระคัมภีร์ไบเบิลเปลี่ยนไป ทำให้ฟาโรห์เดดูโมสเป็นฟาโรห์แห่งการอพยพ[18] อย่างไรก็ตาม ทฤษฎีของโรห์ลกลับล้มเหลวในการหาข้อสนับสนุนในหมู่นักวิชาการส่วนใหญ่ในสาขาของเขา[19]
ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 18 ถึง 19 ฟรานซิส วิลฟอร์ดได้อ้างว่ามีรายงานกล่าวถึงเรื่องราวของโจเซฟัสในบทความอินเดียเกี่ยวกับนิทานอียิปต์ ซึ่งพระนามของฟาโรห์ที่ปรากฏ คือ ทาโมวัตสา[20]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ Hans Ostenfeldt Lange (1863-1943); Maslahat al-Athar; Heinrich Schäfer, (1868-1957) : Catalogue General des Antiquites du Caire: Grab- und Denksteine des Mittleren Reichs im Museum von Kairo, Tafel XXXVIII, (1902) available copyright-free online, see CG 20533 p. 97 of the online reader
- ↑ 2.0 2.1 Ryholt, K. S. B. (1997). The Political Situation in Egypt during the Second Intermediate Period, c. 1800 - 1550 BC. Copenhagen: Museum Tusculanum Press. ISBN 87-7289-421-0.
- ↑ Darrell D. Baker (2008). The Encyclopedia of the Pharaohs: Volume I - Predynastic to the Twentieth Dynasty 3300–1069 BC, Stacey International, ISBN 978-1-905299-37-9, 2008
- ↑ Jürgen von Beckerath: Untersuchungen zur politischen Geschichte der Zweiten Zwischenzeit in Ägypten, Glückstadt, 1964
- ↑ Jürgen von Beckerath: Chronologie des pharaonischen Ägyptens, Münchner Ägyptologische Studien 46, Mainz am Rhein, 1997
- ↑ Thomas Schneider (2006). "Middle Kingdom and the Second Intermediate Period." In Ancient Egyptian Chronology, edited by Erik Hornung, Rolf Krauss, And David a. Warburton, see p. 187
- ↑ Detlef Franke (1994). Das Heiligtum des Heqaib auf Elephantine. Geschichte eines Provinzheiligtums im Mittleren Reich, Studien zur Archäologie und Geschichte Altägyptens. vol. 9. Heidelberger Orientverlag, Heidelberg, ISBN 3-927552-17-8 (Heidelberg, Universität, Habilitationsschrift, 1991), see p. 77-78
- ↑ Chris Bennett (2002) "A Genealogical Chronology of the Seventeenth Dynasty", Journal of the American Research Center in Egypt, Vol. 39 pp. 123-155
- ↑ Flinders Petrie: A History of Egypt - vol 1 - From the Earliest Times to the XVIth Dynasty (1897), p. 245, f. 148
- ↑ W. V. Davies (1982). "The Origin of the Blue Crown", The Journal of Egyptian Archaeology, Vol. 68, pp. 69-76
- ↑ 11.0 11.1 Ludwig Morenz and Lutz Popko: A companion to Ancient Egypt, vol 1, Alan B. Lloyd editor, Wiley-Blackwell, p. 106
- ↑ Grimal, Nicolas (1992). A History of Ancient Egypt. Oxford: Blackwell Books. ISBN 9780631174721., p. 185
- ↑ Hayes, William C. (1973). "Egypt: from the death of Ammenemes III to Seqenenre II". ใน Edwards, I.E.S. (บ.ก.). The Cambridge Ancient History (3rd ed.), vol. II, part 1. Cambridge University Press. pp. 42–76. ISBN 0-521-082307., p. 52
- ↑ Josephus, Flavius (2007). Against Apion – Translation and commentary by John M.G. Barclay. Leiden-Boston: Brill. ISBN 978-90-04-11791-4., I:75-77
- ↑ Wolfgang Helck, Eberhard Otto, Wolfhart Westendorf (1986), "Stele - Zypresse": Volume 6 of Lexikon der Ägyptologie, Otto Harrassowitz Verlag.
- ↑ Erik Hornung, Rolf Krauss & David Warburton (editors) (2006), Handbook of Ancient Egyptian Chronology (Handbook of Oriental Studies), Brill: p. 196, n.134
- ↑ Pharaohs and Kings by David M. Rohl (New York, 1995). ISBN 0-609-80130-9
- ↑ Rohl, David (1995). "Chapter 13". A Test of Time. Arrow. pp. 341–8. ISBN 0-09-941656-5.
- ↑ Chris Bennett (1996). "Temporal Fugues เก็บถาวร 2018-07-16 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน", Journal of Ancient and Medieval Studies XIII.
- ↑ Francis Wilford, On Egypt and the Nile from the ancient books of the Hindus, Asiatic Researches vol. III p. 437